Singha Park หรือ ไร่บุญรอด สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดเชียงราย เข้าชมฟรี และที่นี่ยังเป็นต้นแบบของธุรกิจเพื่อสังคม Social Enterprise ในไทยด้วย
วันนี้ได้มีโอกาสมาเที่ยว Singha Park จังหวัดเชียงราย และได้รับฟังข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Social Enterprise ที่อยากจะนำมาบอกต่อมากๆ ครับ
Social Enterprise คือ ธุรกิจหรือองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมหรือสิ่งแวดล้อม ถ้าพูดถึง CSR หรือ CSV ก็คือธุรกิจแสวงหาผลกำไร แล้วก็เอากำไรส่วนหนึ่งมาแก้ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น หรือนำไปปรับปรุงกระบวนการของธุรกิจเพื่อลดการสร้างปัญหา แต่ Social Enterprise คือธุรกิจที่เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาโดยเฉพาะ
จุดสำคัญของ Social Enterprise คือ ไม่ได้เอากำไรกลับเข้าสู่เจ้าของบริษัทหรือหุ้นส่วน ไม่ได้มีการปันผลกำไร แต่เงินที่ได้จากธุรกิจเค้าจะเอามาขยายกิจการ และจ้างพนักงานเข้ามา เพื่อให้เกิดทางแก้ไขปัญหาที่มีความยั่งยืน
โดยต้องมีรายได้จากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจเป็นหลัก และมีในระดับที่เลี้ยงตัวเองได้ มีกำไรที่เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปต่อยอดกิจการและทำประโยชน์ให้สังคมได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตัวอย่าง Social Enterprise ในไทยที่เราคุ้นเคยกันก็คือโครงการหลวง ที่ช่วยให้คนงานมีรายได้และได้ผลผลิตคุณภาพดี เช่นเดียวกันกับ Singha Park ก่อนหน้านี้คนงานที่นี่เค้าไม่มีธุรกิจอะไรก็ไปปลูกฝิ่นค้าฝิ่นกัน พอรัฐบาลเข้ามาควบคุม แปปๆ ก็หนีไปปลูกกันอีกอยู่ดี ซึ่งทางออกของปัญหาคือต้องสร้างงาน สร้างรายได้ที่ยั่งยืน
ที่เล่ามาก็เป็นเบื้องหลังเกี่ยวกับกิจการของที่นี่ครับ บอกเลยว่าของจริง
Singha Park เชียงราย มีพื่นที่กว่า 8,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ไป 4 ตำบล ซึ่งเราคงเดินเที่ยวกันไม่ไหวแน่นอน การคมนาคมของที่นี่ก็จะมีจักรยานให้เช่า หรือจะขนจักรยานเข้ามาเองก็ได้ และรถเข้าชมในไร่
ข้อมูลจักรยานให้เช่าครับ มีสามแบบนะ จักรยานแบบ 2 ที่นั่ง ปั่นกับแฟนมุ้งมิ้งมากๆ
แต่วันนี้ผมจะไม่ปั่นฮะ มาแอบขึ้นรถเข้าชมที่เค้าจัดไว้ให้ อิอิ
วิวสวย ลมเย็นครับ ชิวมาก
แวะลงมาดูที่จุดแรก เป็นโรงเรือนปลูกผักและผลไม้แบบผสม
ต้นกล้าน้อยๆ ในกระถางจิ๋ว พอเจ้าเติบใหญ่ก็ถูกจะย้ายมาลงในกระถางใหญ่
ยามเฝ้าไร่วันนี้ …อารมณ์บูดนิดนึง
มาส่องต้นมะเขือเทศราชินีครับ พี่พนักงานเค้าแอบบอกว่า ปกติแล้วไร่ตรงนี้จะไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามานะครับ เพราะพืชผักค่อนข้างจะ sensitive กับหลายๆปัจจัย อย่างมะเขือเทศเนี่ย ถ้าคนที่สูบบุหรี่เข้ามาจะมีผลต่อการเติบโตของมะเขือเทศครับ แม้เค้าจะไม่ได้เข้ามาสูบในไร่ก็ตาม (เพิ่งรู้แหะ)
เค้าก็เอามาให้ลองชิม ขอบอกตรงนี้เลยว่าเป็นมะเขือเทศราชินีที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา!! ผิวด้านนอกจะเต่งๆคล้ายองุ่น เนื้อข้างในฉ่ำและมีรสหวาน คือปกติมะเขือเทศราชินีที่เคยกินทั่วไปจะมีรสเปรี้ยวนำ แต่ของที่นี่รสเปรี้ยวกับรสหวานมาเท่ากันเลย ลงตัวมากๆ ทั้งรสชาติและรสสัมผัส ต้องหาซื้อกลับบ้านแน่นอน
คะน้าใบหยิก หรือ ผักเคล มีฉายาว่า Queen of The Green เป็นผักสีเขียวที่มีคุณค่าโภชนาการที่สูงที่สุดในโลกตามฉายา ประโยชน์เยอะในระดับที่ไม่ไว้หน้าผักอื่นๆ สรรพคุณยาวเป็นหางว่าว ทานสดๆได้เลย จะมีรสขมหน่อยๆ อันนี้ค่อนข้างหาทานยากอยู่เหมือนกัน
ถัดมาก็เข้ามาดูในโรงเรือนที่เค้าปลูกเมลอนครับ
ในโรงเรือนนี่เค้าต้องควบคุมความชื้นและอุนหภูมิอย่างดีเลย เพราะภูมิอากาศของประเทศไทย ไม่ได้เหมาะกับการปลูกเมลอนนัก
ต้นเมลอนต้องใช้เวลาถึง 90 วันหลังจากเพาะเมล็ดถึงจะเก็บเกี่ยวได้ และเจ้าเมลอนเนี่ยต้นหนึ่งต้นจะออกผลได้เพียงหนึ่งผลเท่านั้น!! คือเก็บเสร็จตัดต้นทิ้งเลยครับ ทั้งโรงเรือนควบคุมอุณหภูมิความชื้น ทั้งออกได้ผลเดียว เมลอนจึงเป็นผลไม้ที่มีต้นทุนสูง และราคาแพง
ได้เมลอนเย็นๆ ตอนอากาศร้อนๆ บอกเลยว่าฟินมากกกกกกกกกกกกก อาาห์
ฟินแค่ไหน ถามพี่สาวคนนี้ดูได้
นอกจากปลูกพืชผลไม้ทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตร มีการวิจัยทดลองโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด เช่น การทดลองปลูกราสพ์เบอร์รี่ หรือบลูเบอร์รี่ ในภูมิประเทศที่ปลูกยาก ซึ่งเมื่อโปรเจคหนึ่งสำเร็จ ก็จะเป็นรายได้กลับไปให้พนักงาน และขยายกิจการต่อ
แปลงทดลองไร่ราสพ์เบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ และสตอเบอร์รี่ จริงๆช่วงที่ผมมานี่เป็นช่วงปลายเดือนมีนาคมแล้ว ผลผลิตแทบทั้งหมดถูกเก็บไปแล้ว แต่โชคดียังเหลืออีกส่วนหนึ่ง ที่พี่ๆเค้าเก็บมาให้พวกเราได้ลองทานกัน
แน่นอนเลย สำหรับสตอเบอร์รี่ของที่นี่ รสชาติหวานอมเปรี้ยว รสหวานตรงนี้ทำให้สตอเบอร์รี่อร่อยมาก เป็นที่เลื่องลือและโดนใจใครหลายๆคน โดยนักท่องเที่ยวเมื่อมาที่นี่แล้วสามารถเดินชมและเด็ดทานได้เลย สวรรค์ชัดๆ
มัลเบอร์รี่ครับ หวานหอม กำลังดี เด็ดจากต้นทานสดๆเลย
แวะมาโรงเรือนเพาะเห็ด ที่นี่ปลูกเห็ดหลายชนิด และที่เค้าจะพามาดูวันนี้คือการเพาะเห็ดหอมกัน ที่จะมีขั้นตอนการเพาะที่ซับซ้อนและต้องเอาใจใส่ค่อนข้างมากเทียบกับบรรดาเห็ดชนิดอื่นๆ
เริ่มจากการเตรียมวัสดุเพาะในถุงพลาสติก โดยส่วนผสมหลักจะเป็นรำและขี้เลื่อยจากไม้ยางพารา ต้องไม้ยางพาราเท่านั้นนะ
นำไปฆ่าเชื้อก่อนด้วยเตานึ่งอุณหภูมิ 100 องศา
จากนั้นปล่อยให้เย็นแล้วนำเชื้อเห็ดใส่ลงไป แล้วมาวางไว้ในโรงพักเชื้อที่ควบคุมอุณหภูมิ แสง และความชื้นอย่างดี ประมาณ 150 วัน เพื่อทำการบ่มเส้นใย
อุณหภูมิ ต้อง 25 องศาเป๊ะๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงไม่เบาเลย
เสร็จแล้วเอามาพักไว้ในห้องอุณหภูมิปกติประมาณ 60 วันเพื่อให้เย็นใยรัดตัว และจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
พอครบกำหนดเค้าก็จะกรีดปากถุงพลาสติกออกคว่ำลง รดน้ำ จากนั้นประมาณ 10 วันก็จะเก็บผลผลิตได้ โดยก้อนเชื้อในถุงพลาสติกสามารถนำไปพักตัวในห้องอุณหภูมิปกติ 20 วันเพื่อรอออกผลผลิตรุ่นต่อไป
อันนี้เป็นขั้นตอนการเพาะเห็ดหอมแบบคร่าวๆนะครับ ของจริงจะมีรายละเอียดยิบย่อนกว่านี้มาก ใครสนใจก็ลอง Search Google ดู
กว่าจะมาเป็นเห็ดหอมแบบนี้ได้ ต้องผ่านกระบวนการมากมาย ทะนุถนอมดูแลอย่างดี และลงทุนค่อนข้างสูง ไม่ใช่แค่ว่าใครมีพื้นที่ก็ปลูกได้นะ ใครชอบเขี่ยเห็ดทิ้งตอนทานอาหาร รู้สึกบาปมั้ยล่ะ อิอิ
ตลอดเส้นทางระหว่างที่เราชมไร่ ผมจะเห็นพี่ๆพนักงานยิ้มแย้มต้อนรับตอนเราเดินเข้าไปชม (แต่พอยกกล้องถ่ายพี่ๆเค้าก็จะเกร็งกันนิสนุง) ออฟฟิศของพี่ๆเค้าคือธรรมชาติในพื้นที่กว้างหลายพันไร่
ธุรกิจ Social Enterprise ตรงนี้ก็ทำให้พนักงานกว่า 1,100 คนของที่นี่มีอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต้องยึดอาชีพปลูกฝิ่นหรือตัดไม้ และรายได้ไม่ใช่น้อยๆนะ ก็ถึงกับมีบ้านมีรถ ดูแลครอบครัวได้ เป็นความภาคภูมิใจของพี่ๆเค้าเลย
บ้านพักของพี่ๆคนงาน ส่วนหนึ่งก็จะพักอยู่ในนี้เลย
Landmark อีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้แน่นอนคือไร่ชาของ Singha Park ที่ปลูกเป็นขั้นบันไดบนเนิน ขึ้นมานั่งพักอยู่ตรงนี้แป๊ปนึง ลมเย็นๆ สดชื่น มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด ถ่ายรูปสวยมาก
แต่ภาพที่ผมชอบที่สุดของจุดนี้คือภาพนี้ครับ ถ่ายตอนนั่งรถรางผ่าน พี่ๆเค้าโบกมือให้พวกผมที่แวะมาเยี่ยมพร้อมรอยยิ้ม ดูแล้วอบอุ่นน่ารักมากๆ
ถัดมาเป็นไร่ทดลองปลูกต้นบลูเบอร์รี่ ผมเพิ่งเห็นต้นบลูเบอร์รี่กับตาครั้งแรกนี่แหละ เพราะบลูเบอร์รี่เป็นพืชเมืองหนาว จะหาไร่ที่ปลูกเป็นเรื่องเป็นราวค่อนข้างน้อย ต้องนำมาวิจัยและปรับปรุงสายพันธุ์เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกในดินและภูมิอากาศแบบบ้านเรา
ได้ลองมาชิมบลูเบอร์รี่ที่เค้าเด็ดจากต้นมาสดๆเลยครับ แต่ละสายพันธุ์รสชาติก็จะแตกต่างกันไป
แวะจอดมาส่องพี่วัวกำลังหม่ำ
จุดสุดท้ายที่มาแวะครับ ตรงนี้ก็จะเป็นโซนสำหรับนั่งพัก มีเครื่องดื่มและขนมขาย ซึ่งก็เป็นผลิตภัณฑ์จากไร่นี้แหละ
แวะนั่งพักดื่มชาอู่หลงแพพ
หรือจะซื้ออาหารเข้าไปป้อนพี่ยีราฟก็ได้ แต่บอกเลยว่าน้ำลายพี่แกหยดเยิ้มย้อยมาก มือเปียกไปตามๆกัน
รูปคู่สักหน่อย
กิจกรรม Zip Line เหินเวหากลางไร่ชา เราจะต้องไปสวมอุปกรณ์ที่บ้านสีแดงตรงที่เช่าจักรยาน แล้วขึ้นไปผูกสลิงที่หอคอยที่มีความสูงประมาณตึกสิบชั้น จากนั้นเค้าจะถีบ เอ้ย ปล่อยเราลงมาตามสายสลิงระยะทาง 450 เมตร มันส์ขนาดที่ว่าทุกคนต้องขอเบิ้ลอีกรอบ
เนื่องจากกระผมเองไม่กล้าเอากล้องติดขึ้นไปตอนเล่น กลัวจะมือไม้อ่อนแล้วทำร่วงลงไป ฮ่าๆๆ เลยขอแปะคลิปจากพี่บอย ท่องเที่ยวสะดุดตา มาให้ชมกัน
ก่อนกลับแวะมาตรงนี้หน่อย เป็นส่วนของแนะนำผลิตภัณฑ์อยู่ตรงใกล้ๆกับทางเข้า ตรงรูปปั้นสิงห์ครับ ในนี้ก็จะมีผลิตภัณฑ์ต่างๆจากไร่ Singha Park ให้เราทดลองชิมฟรีเลย
ชิมชา ผมลองเป็นชาอู่หลงร้อนๆ กลิ่นหอม สดชื่น รสชาติดีมากครับ
พวกขนมขบเคี้ยว แยม เห็ดหอมดอง ขอบอกเลยว่าเห็ดหอมดองซีอิ๊วเด็ดมาก ห้ามพลาด สนใจตัวไหน ขอเค้าชิมได้เลย
สุดท้ายก่อนกลับก็ต้องแวะซื้อของฝากแน่นอน ของฝากที่นี่ก็เป็นผลิตภัณฑ์จากไร่ Singha Park เช่นกัน
ชาคุณภาพดีหลากหลายชนิด ใครชอบทานชาฟินแน่นอน
ชุดชงชา สวยงาม หรูหรา เหมาะกับการนำกลับไปเป็นของฝากมากๆ
ของอบแห้งและขนมขบเคี้ยวต่างๆ
ทีเด็ดอยู่ตรงนี้เห็ดหอมดองซีอิ๊ว อร่อยม๊ากกกกก บอกเลยว่าซื้อไปฝากใครก็ต้องติดใจแน่นอน อยากให้มีสั่งซื้อออนไลน์มากๆ
มีพวกหมวก กระเป๋า ร่ม พวงกุญแจ
ปิดท้ายด้วยรีวิวร้านอาหารที่ไร่ Singha Park
สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ Social Enterprise ในไทย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เริ่มต้นด้วยการทำโครงการทางการเกษตร ทำแปลงทดลองค้นคว้าพืชหลายชนิด ถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรในชุมชน ส่งเสริมทักษะอาชีพให้ชาวบ้านที่ว่างงาน มีโอกาสทำงานหารายได้
วันนี้ทั้งสนุก ทั้งได้ความรู้ ได้ทานอาหารดีๆ ได้เห็นรอยยิ้มความภูมิใจของคนทำงานแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก และบอกเลยว่าที่นี่ของเค้าโคตรดี ซู้ดดดดดดด เพลงมา (ผิดๆๆๆ) โดยเฉพาะผักที่ “โคตรอร่อย” รับรองต้องติดใจ เป็นทริปที่ประทับใจมากมายอีกทริปหนึ่ง และจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน